1. ความหมายและวิวัฒนาการ
1.1 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management
Information Systems – MIS)
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ หมายถึง ระบบที่รวบรวมสารสนเทศ
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานขององค์กรให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้บริหารเพื่อสนับสนุนภารกิจที่รับผิดชอบ
โดยใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์สมัยใหม่เพื่อสร้างสารสนเทศที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้
เพื่อให้การดำเนินงานขององค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันขอบเขตการทำงานของระบบสารสนเทศขยายตัวจากการรวบรวมข้อมูลที่มาจากภายในองค์กรไปสู่การเชื่อมโยงกับแหล่งข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมภายนอกทั้งจากภายในท้องถิ่น
ประเทศและระหว่างประเทศ กล่าวคือ
ระบบสารสนเทศจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับองค์การ การจัดการและเทคโนโลยี
ระบบสารสนเทศ (Information Systems) หมายถึง ระบบงานที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล
การจัดทำสารสนเทศ และการสนับสนุนสารสนเทศให้แก่บุคคลหรือหน่วยงานต่าง ๆ
ภายในองค์การที่ต้องการใช้
ข้อมูล (Data) หมายถึง
ข้อเท็จจริงได้ถูกเก็บรวบรวมมาโดยที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ เช่น การบันทึกข้อมูลยอดขายสินค้าแต่ละวัน
สารสนเทศ (Information) หมายถึง
ข้อมูลที่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผล หรือจัดระบบแล้ว
เพื่อให้มีความหมายและคุณค่าสำหรับผู้ใช้ เช่น
- ปริมาณการขายสินค้าแต่ละตัว -
จำแนกตามเขตการขาย
คุณลักษณะของสารสนเทศที่ดี
1)
ด้านเนื้อหา
(content)
- Accuracy ถูกต้องไม่มีข้อผิดพลาด
- Relevance สัมพันธ์กับความต้องการ
- Completeness ครบถ้วนสมบูรณ์
- Reliability เชื่อถือได้
- Verifiability ตรวจสอบได้
- Conciseness ได้สารสนเทศเฉพาะที่ต้องการใช้
2)
ด้านเวลา (time)
- Timeliness ได้ทันทีที่ต้องการ
- up-to-date เป็นปัจจุบัน
- time period สามารถบ่งบอก อดีต
ปัจจุบัน และ อนาคตได้
3)
ด้านรูปแบบ
(format)
-
clarity อยู่ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย
-
level of detail มีรายละเอียดในระดับที่ต้องการ
- Presentation รูปแบบที่นำเสนอ
- Media สื่อที่ใช้
- Flexibility ยืดหยุ่น
- Economy ประหยัด
4)
ด้านกระบวนการ
(process)
- Accessibility การเข้าถึง
- Participation การมีส่วนร่วม
- Connectivity การเชื่อมโยง
1.2 วิวัฒนาการของระบบ
ใน พ.ศ. 2493 ได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานธุรกิจ
โดยใช้กับงานประจำเฉพาะงาน เช่น บัญชีเงินเดือน จัดพิมพ์ใบเสร็จต่าง ๆ
ซึ่งมีลักษณะเป็นการประมวลผลรวยการ (Transaction processing) ซึ่งเรียกว่าการประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic data
processing – EDP) ต่อมาใน พ.ศ. 2503 เกิดระบบปฏิบัติการที่ใช้โปรแกรมการจัดการและควบคุมระบบปฏิบัติการ
ในช่วง พ.ศ.
2505-2513 คำว่า Management Information
Systems ถูกใช้ในวงจำกัด
คือหมายถึงโปรแกรมที่ใช้ในการผลิตเอกสารรายงานประจำงวด
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยผู้บริหารในการทำการตัดสินใจ เช่น
การพิมพ์รายงานงบดุลบัญชีของลูกค้าให้ผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ ใช้ในการตัดสินใจ
อย่างไรก็ตามระบบสารสนเทศในยุคแรก ๆ มีข้อจำกัดไม่ยืดหยุ่น
ใช้ข้อมูลจากการประมวลผลรายการเท่านั้น
ระบบสารสนเทศที่ใช้ช่วยในการตัดสินใจจึงได้เริ่มตั้งแต่ปี 2513 และต่อมาเกิดพัฒนาการต่าง ๆ ทั้งไมโครคอมพิวเตอร์
อุปกรณ์แสดงผลเชิงโต้ตอบ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ง่าย
และพัฒนาการการด้านเทคโนโลยีฐานข้อมูล ช่วยให้ระบบสารสนเทศที่ใช้ง่ายและดีกว่าเดิม
ในราว พ.ศ. 2526
ได้มีการวิจารณ์ถึงปัญหาของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการว่าไม่เหมาะสมสำหรับผู้บริหารระดับสูง
ซึ่งต้องกำหนดกลยุทธ์ นโยบาย และทิศทางขององค์การ
ดังนั้นจึงต้องมีการใช้ข้อมูลทั้งภายในและภายนอกมาใช้จัดทำระบบสารสนเทศด้วย เช่น
สภาพเศรษฐกิจ คู่แข่ง ฯลฯ
1.2.1
บทบาทของระบบสารสนเทศในองค์การ
ศรีสมรัก
อินทุจันทร์ยง (2549 : 256-257) แบ่งระบบสารสนเทศออกเป็น 5 ยุค
ดังนี้
ยุคที่ 1 ช่วงทศวรรษ 1960 -
เน้นการประมวลผลข้อมูลเฉพาะทางเพื่อประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว
- ประเมิน ความคุ้มค่าจากอัตราผลตอบแทน (ROI)
ยุคที่ 2 ช่วงทศวรรษ 1970 - เน้นประสิทธิภาพ กระบวนการทำงานให้เป็นอัตโนมัติ
- ประเมิน เลื่อนจาก ROI ไปเป็น การวัดผลิตภาพเพิ่มขึ้น (Productivity)
- การตัดสินใจดีขึ้น
ยุคที่ 3 ช่วงทศวรรษ 1980 - จากประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
เลื่อนเป็นการใช้งานเชิงกลยุทธ์
มุ่งเน้นความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น
- ประเมิน
ดูจากความจำเป็นของสถานภาพการแข่งขัน ที่ต้องใช้
เป็นเครื่องมือสนับสนุน
ยุคที่ 4 ช่วงทศวรรษ 1990 - 1. ใช้ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
- 2. ใช้ระบบสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการปรับเปลี่ยน
(transfer)
องค์การ อุตสาหกรรม
- ประเมิน
ดูจากสถานภาพการแข่งขันและเครื่องมือสนับสนุน
ยุคที่ 5 ช่วงทศวรรษ 2000 - 1. ยังใช้เป็นแนวเชิงกลยุทธ์
แต่มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่า
- 2.
สร้างเครือข่ายความร่วมมือ
-
พัฒนาองค์การไปสู่องค์การแห่งการเรียนรู้
- ประเมิน พิจารณามูลค่าเพิ่มที่ระบบสารสนเทศสามารถสร้าง
ให้กับ
องค์การ
จอห์น
วอร์ด แบ่งยุคระบบสารสนเทศ หลัก ๆ ออกเป็น 3 ยุค
|
1.2.2
ความหมายของระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ (Strategic
information system - SIS)
ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ (SIS) หมายถึง IS ที่ใช้งานในทุกระดับขององค์การ เช่น TPS, MIS, DSS, ESS ฯลฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงเป้าหมาย กระบวนการ การผลิตสินค้าและบริการ
หรือความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยให้องค์การบรรลุเป้าหมาย
ตามกลยุทธ์ที่องค์การได้กำหนดไว้
องค์การมักใช้ระบบ
SIS จะช่วยให้ได้มาซึ่งข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
ซึ่งองค์การอาจ
- พัฒนา IS ที่ใช้อยู่เดิม ให้เป็น SIS ได้
โดย -
เปลี่ยนกระบวนการทำงาน เช่น ใช้ Barcode การใช้ระบบ
Electronic เป็นต้น
1.3 ระบบสารสนเทศกับวิทยาการที่เกี่ยวข้อง
การจัดทำระบบสารสนเทศเพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้ตรงตามวัตถุประสงค์จำเป็นต้องอาศัยวิทยาการต่าง
ๆ มาช่วย แนวทางการจัดทำจะแบ่งออกเป็น 2 แนวทางคือ ด้านเทคนิค และด้านพฤติกรรม ซึ่งระบบสารสนเทศจะถูกจัดเป็นระบบเทคนิคสังคม (sociotechnical
systems)
วิทยาการด้านเทคนิค ที่เกี่ยวข้อง คือ (Laudon :
2006)
1)
วิทยาการคอมพิวเตอร์
(Computer science) ได้แก่
ทฤษฎีหลักการคำนวณ วิธีการจัดเก็บและเข้า
ถึงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
2) วิทยาการจัดการ (Management
science) เช่น การพัฒนารูปแบบการตัดสินใจและการจัดการ ต่าง ๆ
3) การวิจัยดำเนินการ (Operations
research) จะเน้นเทคนิควิธีการทางคณิตศาสตร์ในการคำนวณหาตัวแปรที่ให้ประโยชน์สูงสุดในการปฏิบัติงานขององค์การ
เช่น การขนส่งสินค้า การควบคุมวัสดุคงคลัง และต้นทุนการขนส่ง เป็นต้น
วิทยาการด้านพฤติกรรม
ที่เกี่ยวข้อง คือ
1)
สังคมวิทยา
(Sociology) จะพิจารณาด้าน คน
กลุ่มคน หรือองค์การที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบ
และผลกระทบที่ได้รับ
2)
จิตวิทยา (Psychology) จะมองถึงระบบสารสนเทศอย่างเป็นทางการนั้นได้ถูก
ผู้มีอำนาจในการตัดสิน
ใจ เข้าใจ และใช้อย่างไร
3)
เศรษฐศาสตร์
(Economics) จะเกี่ยวข้องกับผลกระทบของระบบที่ต้องใช้ต้นทุนและการควบคุม
ในองค์การ และในตลาดอย่างไร
2.
หน้าที่ทางการจัดการ
หน้าที่ทางการจัดการหมายถึง
กระบวนการทำงานและการใช้ทรัพยากรเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์การที่ตั้งไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.1
ความเป็นมาของการจัดการ แบ่งได้เป็น
1.
การจัดการสมัยโบราณ
2.
การจัดการในสังคมอุตสาหกรรม
3.
การจัดการสมัยใหม่
-
เป็นผลโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากปัจจัยแวดล้อมทั้งระดับกว้างในสังคม
ระบบองค์การ และระบบการจัดการ
- สภาพแวดล้อม ได้แก่เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทำให้เกิดโลกาภิวัตน์
2.1.1 ภารกิจการจัดการในองค์การ
1) ภารกิจการจัดการสมัยคลาสสิก ช่วงปลายศตวรรษที่
19 และต้นศตวรรษที่ 20 การขยายตัวของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ภารกิจการจัดการ มี 5
ประการ
(1) การวางแผน (Planning)
(2) การจัดองค์การ (Organizing)
(3) การสั่งการ (Commanding)
(4) การประสานงาน (Coordinating)
(5) การควบคุม (Controlling)
2) ภารกิจการจัดการสมัยใหม่
(1) การวางแผน
(2)
การจัดองค์การและการจัดการทรัพยากร
(3)
การใช้ภาวะผู้นำขับเคลื่อนกิจการ
(4) การควบคุม
3) บทบาทการจัดการ 10 ประการของ Mintzberg
2.1.2 ทฤษฏีการจัดการ
1. ทฤษฏีการจัดการสมัยคลาสสิก
(1) ทฤษฏีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
(2) ทฤษฏีการจัดการเชิงกระบวนการ
(3) ทฤษฏีการจัดการระบบราชการ
2. ทฤษฏีการจัดการสมัยนีโอคลาสสิก
(1) ทฤษฏีมนุษย์สัมพันธ์
(2) ทฤษฏีเชิงสังคมศาสตร์
(3) ทฤษฏีพฤติกรรมศาสตร์
3. ทฤษฏีการจัดการสมัยใหม่
(1) ทฤษฏีสถานการณ์
(Contingency theory)
(2) ทฤษฏีระบบ (System
theory)
(3) ทฤษฏีศาสตร์การจัดการ (Management
science theory)
2.2
องค์ประกอบหน้าที่ทางการจัดการ มี
3 องค์ประกอบ คือ กระบวนการ การทำให้งานบรรลุ
เป้าประสงค์
และการใช้ทรัพยากร ดังนี้
2.2.1 กระบวนการ มี 4 ขั้นตอน
(1) การวางแผน (planning) เป็นกระบวนการของการกำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการที่จะ
ทำให้บรรลุวัตถุ ประสงค์นั้นในอนาคต
- ผู้บริหารระดับสูง วางแผนแม่บท
(Master Plan) - -
ผู้บริหารระดับกลาง
วางแผนฝ่าย (Functional Plan)
- ผู้บริหารระดับต้น วางแผนปฏิบัติการ (Action Plan)
(2) การจัดองค์การและงาน (organizing)
หมายถึง การจัดโครงสร้างองค์การระบบงาน
กำหนดงานที่ทำ หน่วยงานที่รับผิดชอบ สายการบังคับบัญชา
อำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติงานในองค์การ
(3) การนำและการชักจูง (leading) หมายถึง การชักจูงให้หน่วยงาน
บุคคลที่รับผิดชอบใน
งานได้ทำงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ตั้งไว้
อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้วิธีการต่าง ๆ
(4) การควบคุม (controlling) หมายถึง กระบวนการของการติดตาม ตรวจสอบผลงานการ
ปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้งานได้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ตามที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
|




การบังคับบัญชา
การสั่งการ
การประสานงาน

2.2.3
การทำให้มีการใช้ทรัพยากรในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ได้แก่
1. ทรัพยากรด้านบุคคล 2.
งบประมาณ
3. วัสดุอุปกรณ์ 4. เครื่องมือเครื่องใช้
5. เทคโนโลยี 6. ระยะเวลา ฯลฯ
2.3 ความสำคัญของการจัดการต่อองค์การ สรุปได้ 2 ประเด็น
1.
เป็นเครื่องมือให้ผู้บริหารและผู้บังคับบัญชาในทุกระดับได้นำไปใช้ เพื่อทำงาน
ให้ตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของงานและองค์การที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.
ช่วยทำให้การบริหารงานได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบรอบคอบ
และได้มีการยึด
ถือหลักการและเหตุผลของการบริหารที่ดี
Mintzberg ได้กล่าวถึงบทบาทในการจัดการ 3 กลุ่ม 10 บทบาทย่อย
1. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
บทบาทของผู้จัดการคือ หัวหน้า
ผู้นำ ผู้ประสานงาน
2. ด้านสารสนเทศ คือ ผู้กำกับดูแล ผู้เผยแพร่กระจายข่าว โฆษกองค์การ
3. ด้านการตัดสินใจ คือ ผู้ประกอบการ ผู้ดูแลความเรียบร้อย ระงับความขัดแย้ง
ผู้จัดสรร
วางแผนทรัพยากร ผู้เจรจาต่อรอง
2.4 ประสิทธิผล ประสิทธิภาพและผลิตภาพของการจัดการ
ประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ตัวดัชนีวัดระดับความสำเร็จของการปฏิบัติงานเมื่อเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้
- การปฏิบัติงานที่มีประสิทธิผล หมายถึง การปฏิบัติงานที่ได้ผลงานออกมาเท่ากับหรือมากกว่าวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้
ประสิทธิภาพ (Efficiency)
หมายถึง
ตัวดัชนีวัดที่แสดงถึงการวัดอัตราส่วนระหว่างผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับต้นทุนที่ใช้ไปในการดำเนินงาน เช่น
- การทำงานที่ได้ผลงานออกมามากแต่ใช้ทรัพยากรน้อย หรือ ทำงานได้ปริมาณเท่าเดิมแต่ใช้เวลาน้อยทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง
สูตร =
ผลงาน (output) : ต้นทุน(Input)
= ปริมาณการผลิต :
ต้นทุนการผลิต = 750,000
: 10,250,000 =
1 : 13.66
ผลิตภาพ(Productivity) มีความหมายในลักษณะเดียวกับประสิทธิภาพ แต่เน้นที่การใช้ทรัพยากรบุคคลในฐานะต้นทุน (ผลิต 1
หน่วยมีต้นทุน 13.66 การจะมีประสิทธิภาพมากหรือน้อยต้องนำไปเปรียบเทียบกัน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น